โรคไตมีหลายระยะ และมักจะแบ่งออกเป็น 5 ระยะหลัก ดังนี้:
ระยะเริ่มต้น ระยะ 1
ในระยะนี้, ความเจ็บปวดและอาการจากโรคไตยังไม่มีหรือเป็นน้อยมาก บางครั้ง, ผู้ที่เป็นโรคไตอาจไม่รู้สึกอะไรมากหรือไม่มีอาการเลย.
การตรวจเลือดอาจแสดงค่าครีอะตินินด้วยอย่างสูงหรือความเสี่ยงในการเป็นโรคไต.
ระยะนี้มักเป็นตอนที่ประชากรมักไม่รู้สึกเจ็บหรือมีอาการมาก แต่ต้องการการตรวจสุขภาพเพื่อตรวจสอบค่าในเลือด.
ระยะเฉียบพลัน ระยะ 2
ในระยะนี้, การทำงานของไตเริ่มมีปัญหาและเริ่มแสดงอาการของโรคไต.
อาการที่พบบ่อยในระยะนี้รวมถึงอ่อนเพลีย, มีปัญหาในการควบคุมความดันเลือด, บวม, ปัญหาการปัสสาวะ, น้ำหนักลดลง, ปัญหาเกี่ยวกับการสะสมสารเสพติดหรือสารพิษในร่างกาย, ค่าครีอะตินเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ.
ผู้ที่อยู่ในระยะนี้อาจจำเป็นต้องรับการรักษาเพื่อควบคุมอาการและลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต.
ระยะปลอดภัย ระยะ 3
ระยะสุดท้ายของโรคไตเป็นระยะที่รุนแรงและต้องการการรักษาพิเศษ เช่นการได้รับการไตเทียบ หรือการนำไตแทนที่จะต้องทำในกรณีรุนแรง.
ผู้ที่อยู่ในระยะนี้มักมีภาวะไตเสื่อมรุนแรง, ความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงมาก, และอาจต้องรับการรักษาด้วยการแพทย์ที่มีความชำนาญในโรคไต.
ในบางกรณี,ผู้ที่อยู่ในระยะนี้อาจต้องรอคอยการบรรจุไต (kidney transplantation) เพื่อรักษาโรคไต.
ระยะที่ 4
ในระยะนี้, GFR ระดับต่ำมาก, ซึ่งอาจน้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาที (ml/min) หรือแม้กระทั้ง 15 แต่ยังมีการกรองของไตอย่างน้อย.
-ผู้ที่อยู่ในระยะนี้มักมีอาการที่รุนแรงมากเช่นสุขภาพทั่วไปที่ทรุนแรง, ความล้าหมด, ความป่วยหรือไม่สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ.
-การควบคุมความดันเลือด, การควบคุมสารพิษในร่างกาย, การดูแลสุขภาพทั่วไปและรับการรักษาเพิ่มเติมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงและรักษาอาการในระยะนี้.
ระยะที่ 5 (ไตล้วน)
ระยะนี้เรียกว่า “ไตล้วน” (end-stage renal disease, ESRD) คือระยะที่ทรุดหรือไตเสื่อมถึงขีดจุดที่ไม่สามารถฟื้นฟูหรือรักษาไตให้กลับมาสู่สภาวะปกติได้.
-GFR ในระยะนี้มักต่ำกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาที หรือมีการกรองของไตน้อยมากถึงศูนย์.
-ผู้ที่อยู่ในระยะนี้ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์เพื่อรักษาชีวิต, ซึ่งอาจประกอบไปด้วยการกระตุ้นไตผ่าตัด (dialysis) หรือการไตเทียบ (kidney transplantation).
-ในกรณีที่ค่า GFR ล้วนมากที่สุด, ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการหรือรู้สึกว่าไม่สบาย แต่ต้องได้รับการดูแลสุขภาพและรับการรักษาอย่างใกล้ชิดเพื่อรักษาชีวิต.
ระยะที่ 4 และ 5 ของโรคไตมักเรียกว่า “ไตระดับสุดท้าย” และมีความเสี่ยงที่มากในการเสียชีวิต จึงต้องการความรักษาและการดูแลสุขภาพที่รอบคอบจากทีมแพทย์เชี่ยวชาญในโรคไต.
More
สถานการณ์โรคไตในปัจจุบัน ข้อมูลจากการศึกษาจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง ประมาณร้อยละ 17.6 ของคนไทยป่วยเป็นโรคไต คิดเป็นผู้ป่วยราว 8 ล้านคน 80,000 คนเป็นไตวายระยะสุดท้าย และมีแนวโน้มมากขึ้นเป็นทุกปีๆ
พญ.ผ่องพรรณ ทานาค แพทย์อายุรกรรมโรคไต โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า โรคไตเรื้อรังเป็นโรคที่พบบ่อยและเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขของประเทศไทย เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด จำเป็นต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่โรคไตวายระยะสุดท้าย ถ้าเกิดภาวะไตวาย ไตหยุดทำงาน ของเสียจะคั่งค้างในเลือดและร่างกาย
อาการของโรคไต ผู้ป่วยจะมีอาการดังนี้
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อ่อนเพลีย
- ซีด โลหิตจาง
- คันตามตัว
- มีจ้ำตามตัว
- อาเจียนเป็นเลือด
- น้ำท่วมปอด
- กระดูกเปราะบางหักง่าย
- ปวดกระดูก
- ถ้าของเสียค้างในสมองมาก ๆ จะมีอาการชักและสมองหยุดทำงาน
นอกจากนี้ผู้ป่วยจะเป็นหมัน และหมดสมรรถภาพทางเพศ
ถ้าเกิดโรคไตวายในเด็ก เด็กจะแคระแกรนหยุดการเจริญเติบโต
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เป็นโรคไตวาย
- โรคเบาหวาน
- ไตวายจากเนื้อเยื่อไตอักเสบ
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันสูง
- โรคเอสแอลอี (SLE)
- โรคเกาต์
- นิ่วที่ไตและทางเดินปัสสาวะ
- ไตวายจากพันธุกรรม
- ทางเดินปัสสาวะผิดปกติมาตั้งแต่เกิด ในกรณีที่ไตวายถาวรแล้ว ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม
วิธีรักษาโรคไต
ปัจจุบันนี้วงการแพทย์เราก็มีวิธีการรักษาผู้ป่วยไตวายให้มีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ วิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังมี 3 วิธี
วิธีแรก คือ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีของเสียคั่งค้าง ผ่านเข้าไปในเครื่องกรองเลือด ซึ่งจะกรองของเสียจากเลือดและนำเลือดที่ถูกกรองจนสะอาดแล้วกลับสู่ร่างกายผู้ป่วย
วิธีที่สอง คือ วิธีล้างช่องท้องด้วยน้ำยา (CAPD) วิธีนี้ผู้ป่วยจะต้องใส่น้ำยาเข้าไปในช่องท้องตนเอง ครั้งละ 2 ลิตร วันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 6 ชั่วโมง หรือทำกลางคืนตลอดทั้งคืนทุกๆวัน
วิธีที่สาม คือ การเปลี่ยนไต หรือ ปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation) เป็นวิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังที่ดีที่สุด
สถิติในการปลูกถ่ายไตของ รพ.พระรามเก้า ตั้งแต่ ปี 2535 ถึงปัจจุบัน (มิถุนายน2535-มกราคม 2563) ผ่าตัดเปลี่ยนไตไปแล้ว 909 ราย ได้รับบริจาคไตจากญาติพี่น้องร่วมสายโลหิต 381 ราย สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย 31 ราย ผู้บริจาคสมองตาย ผ่านสภากาชาดไทย 497 ราย ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไต อายุน้อยที่สุด 11 ปี อายุมากที่สุด 80 ปี และผู้ป่วยที่อายุมากว่า 60 ปี ได้รับการเปลี่ยนไต 176 ราย
ปัจจุบันแพทย์ไทยเรามีความรู้ความสามารถในการผ่าตัดเปลี่ยนไตประสบผลสำเร็จได้ดีทัดเทียมกับต่างประเทศ ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนไตสำเร็จแล้ว จะสามารถมีชีวิตยืนยาวและดำรงชีวิตด้วยคุณภาพที่ดี ประกอบอาชีพได้ ปัจจุบันผู้ป่วยคนไทยที่ได้รับการเปลี่ยนไตไปแล้วหลายพันคน หลายๆ สาขาอาชีพ เช่น ทหาร ตำรวจ แพทย์ ทันตกรรม วิศวกร ทนายความ ดารา นักการเมือง นักธุรกิจ เป็นต้น หลังเปลี่ยนไตผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรได้ สามารถทำประโยชน์ต่างๆ ให้สังคมได้เหมือนคนปกติ
More
กายภาพบำบัดมีบทบาทสำคัญในการจัดการและรักษาผู้ป่วยโรคไต ต่อไปนี้เป็นเหตุผลสำคัญบางประการว่าทำไมการกายภาพบำบัดจึงมีความสำคัญสำหรับบุคคลที่เป็นโรคไต:
1. ปรับปรุงการเคลื่อนไหวและการทำงาน: โรคไตอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ข้อตึง และการเคลื่อนไหวลดลง กายภาพบำบัดช่วยเพิ่มระยะการเคลื่อนไหว เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และปรับปรุงการทำงานของร่างกายโดยรวม ช่วยให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมประจำวันได้อย่างง่ายดายและเป็นอิสระมากขึ้น
2. การจัดการความเจ็บปวด: โรคไตอาจทำให้เกิดอาการปวดข้อ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออ่อนได้ เทคนิคกายภาพบำบัด เช่น การบำบัดด้วยตนเอง การออกกำลังกายบำบัด และวิธีการต่างๆ เช่น การบำบัดด้วยความร้อนหรือเย็น สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและไม่สบายได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น
3 เสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: โรคไตมักนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด กายภาพบำบัดอาจรวมถึงการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของผู้ป่วย ซึ่งช่วยปรับปรุงการทำงานของหัวใจและปอด ลดความดันโลหิต และปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดโดยรวม
4 ป้องกันภาวะแทรกซ้อน: ผู้ป่วยโรคไตมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคกระดูกพรุน และกล้ามเนื้อลีบ การทำกายภาพบำบัด รวมถึงการออกกำลังกายแบบยกน้ำหนักและการฝึกความต้านทาน สามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้โดยการส่งเสริมสุขภาพกระดูกและรักษามวลกล้ามเนื้อ
5 จัดการอาการบวมน้ำ: อาการบวมน้ำหรือบวมเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคไต เทคนิคกายภาพบำบัด เช่น การระบายน้ำเหลืองด้วยตนเอง การบีบอัด และการออกกำลังกายสามารถช่วยลดอาการบวมน้ำและปรับปรุงการไหลเวียนของน้ำเหลืองได้
6 เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีทางจิต: โรคไตอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วย นำไปสู่ความวิตกกังวล ซึมเศร้า และความเครียด กายภาพบำบัดไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงการทำงานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของจิตใจผ่านการปล่อยสารเอ็นโดรฟินที่เกิดจากการออกกำลังกาย และความรู้สึกโดยรวมของความสำเร็จและการเสริมพลัง
More
ประโยชน์ของการกายภาพบำบัดในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายมีหลายด้านดังนี้:
1. เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ: การกายภาพบำบัดช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอหรืออ่อนแรง ซึ่งส่งผลให้คุณสามารถทำกิจกรรมทางกายภาพต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เช่น เดิน วิ่ง หรือยกของหนักกว่าเดิมได้
2. ปรับปรุงระบบการหายใจและหัวใจ: การกายภาพบำบัดช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบหัวใจและปรับปรุงการทำงานของระบบการหายใจ ทำให้สามารถทำกิจกรรมทางกายภาพระดับสูงได้โดยไม่เหนื่อยหอบหายใจ
3. ลดอาการปวด: การกายภาพบำบัดช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ความผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ และปลดปล่อยสารสารเคมีภายในร่างกายที่ช่วยลดอาการปวด เช่น ยาสมุนไพรธรรมชาติ (endorphins)
4. ป้องกันการเจ็บป่วยและฟื้นฟูสมรรถภาพหลังผ่าตัด: การกายภาพบำบัดช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และช่วยในการฟื้นฟูหลังผ่าตัด
5. ปรับสมดุลทางกายภาพ: การกายภาพบำบัดช่วยปรับสมดุลทางกายภาพ ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการหกล้มหรือการเคลื่อนไหวผิดพลาด
6. พัฒนาศักยภาพทางการเคลื่อนไหว: การกายภาพบำบัดช่วยพัฒนาศักยภาพทางการเคลื่อนไหว เช่น ความยืดหยุ่น ความสมดุล และความคล่องตัว ทำให้คุณสามารถทำกิจกรรมทางกายภาพที่ต้องการความคล่องตัวและความสมดุลได้ดีขึ้น
7. พัฒนาสมองและปรับปรุงสมรรถภาพจิตใจ: การกายภาพบำบัดมีผลกระทบในการเพิ่มพลังงานสมอง ปรับปรุงความจดจ่อ ความจำ และสมรรถภาพทางจิตใจโดยรวม
การกายภาพบำบัดมีประโยชน์อีกมากมายและสามารถปรับใช้กับผู้ที่มีภาวะทางกายภาพต่าง ๆ ได้ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดเพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสมสำหรับบุคคลเนื่องจากสถานะสุขภาพแตกต่างกันไป
More
By Firstphysio Clinic
14 Jul, 2023
Stroke, กายภาพบำบัดที่บ้าน, การดูแลตนเองในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง, การรักษาทางกายภาพบำบัด, ความดันโลหิตสูง, ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก, อัมพาตครึ่งซีก, อัมพาตครึ่งท่อน, อุปกรณ์กายภาพบำบัด, โรคความดันโลหิตสูง
ischemic stroke, Stroke, การรักษาทางกายภาพบำบัด, เทคนิคการรักษาผู้ป่วยเส้นเลือดสมองตีบ, เส้นเลือดสมองตีบ
ตอนที่ 677 เทคนิคทางกายภาพช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว
ของผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ
เทคนิคการบำบัดที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดในสมองตีบ สามารถทำได้โดยใช้เทคนิคและเครื่องมือต่างๆ ดังนี้:
1. การฝึกซ้อมท่าทางและการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจง: การฝึกซ้อมท่าทางและการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจงช่วยให้ผู้ป่วยเส้นเลือดตีบสามารถฝึกซ้อมและปรับปรุงความคล่องตัวและความสามารถในการเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. การใช้เครื่องมือช่วย: ใช้เครื่องมือบำบัดที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหว ตัวอย่างเช่น โบล่าเบอร์รี่เพลต หรืออุปกรณ์กายภาพบำบัดอื่นๆ เพื่อช่วยในการฝึกซ้อมและปรับปรุงความคล่องตัว และการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
3. การฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่น: การฝึกซ้อมและเล่นท่าทางที่เน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เช่น การทำกายภาพบำบัดท่าทางที่เกี่ยวข้องกับการยืดกล้ามเนื้อและการเพิ่มความแข็งแรง เช่น การทำยกแขนหรืองานบ้านที่เกี่ยวข้อง
4. การฝึกการปรับสมดุลและความคล่องตัว: การฝึกซ้อมท่าทางที่เน้นการปรับสมดุลและความคล่องตัว เช่น การทำท่ายืนเพื่อปรับสมดุล หรือการทำแรงบีบเลือดแขนเพื่อเพิ่มความคล่องตัว
5. การฝึกซ้อมการเคลื่อนไหวเป้าหมาย: การฝึกซ้อมการเคลื่อนไหวเป้าหมายที่ต้องการ เช่น การฝึกซ้อมการเดินหรือการเคลื่อนไหวเฉพาะทาง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความชำนาญในการทำงานที่ต้องการ
6. การฝึกการหายใจและการผ่อนคลาย: การฝึกการหายใจและการผ่อนคลายเพื่อลดความเครียดและเพิ่มความผ่อนคลายในร่างกาย อาจใช้เทคนิคการหายใจลึกๆ หรือเทคนิคการผ่อนคลายอื่นๆ
เทคนิคเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ แต่ควรปฏิบัติภาระงานตามความสามารถและคำแนะนำของนักกายภาพบำบัดหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลร่างกายเสมอ
More