All Posts tagged ข้อไหล่เลื่อนหลุด

ตอนที่187: ข้อไหล่เลื่อนหลุด (Shoulder Subluxation)

ข้อไหล่เลื่อนหลุด (Shoulder subluxation)

ข้อไหล่เคลื่อนหลุด (shoulder subluxation) ภาวะข้อไหล่เคลื่อนหลุดในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกหมายถึงการเพิ่มขึ้นของระยะระหว่างหัวของกระดูกต้นแขน (humerus) และเบ้า (glenoid fossa) ของกระดูกสะบัก ในภาวะปกติความมั่นคงของข้อไหล่ขึ้นอยู่กับการทำงานของกล้ามเนื้อ เอ็นรอบข้อไหล่และเยื่อหุ้มข้อไหล่ เมื่อเกิดภาวะอัมพาตครึ่งซีกและกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่อ่อนแรงจะทำให้ head of humerus แยกออกจากเบ้า glenoid fossa มากขึ้น ตามปกติการเกิดข้อไหล่เคลื่อนห่างออกจากกันนี้ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและช่วงการเคลื่อนไหวขณะทำ passive movement อาจเป็นปกติ แต่ภาวะนี้ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่ได้ง่ายและส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดตามมา ภาวะข้อไหล่เคลื่อนหลุดส่งผลให้กลไกการเคลื่อนไหวของข้อไหล่เปลี่ยนแปลง น้ำหนักของแขนจะดึงยืดกล้ามเนื้อ เส้นประสาท และเส้นเลือดและเนื้อเยื่ออื่นๆรอบข้อไหล่จนอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและปัญหาอื่นๆได้แก่ ข้อไหล่ติด, ข้อไหล่เจ็บ, เกิดการบาดเจ็บของ brachial’s plexus, reflex sympathetic dystrophy, adhesive changes และ subaromial impingement ดังนั้นผู้ป่วยที่มีภาวะข้อไหล่เคลื่อนหลุดควรได้รับการดูแลโดยการจัดให้ข้อไหล่อยู่ในภาวะที่เนื้อเยื่อไม่ถูกดึงยืด และการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ควรทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้อ ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะข้อไหล่เคลื่อนหลุดในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกลไก locking mechanism ไม่สามารถเกิดได้ตามปกติ ในภาวะปกติเบ้า glenoid fossa ของกระดูกสะบักจะวางตัวอยู่ในลักษณะ upward, forward และ laterally เพื่อรองรับ head of humerus ขณะแขนห้อยข้างลำตัวเยื่อหุ้มข้อและเอ็นข้อไหล่ทางด้านบนจะตึงส่งผลให้เกิดแรงดึงของกระดูกต้นแขนเคลื่อนต่ำลงมา กลไกดังกล่าวนี้เป็นเหมือน locking mechanism ของข้อไหล่ที่ช่วยเสริมความมั่นคงขณะห้อยแขนข้างลำตัว กล้ามเนื้อที่จำเป็นต่อการเกิด locking mechanism คือกล้ามเนื้อของกระดูกสะบักที่ทำให้กระดูกสะบักวางตัวอยู่ในลักษณะ neutral หรือมี upward rotation เล็กน้อย เมื่อมีการกางแขนเอ็นและเยื่อหุ้มข้อไหล่ด้านบนจะหย่อนตัวและเกิดการเคลื่อนของกระดูกสะบักและเบ้า glenoid fossa ทำให้ locking mechanism ไม่สามรถเกิดขึ้นได้ ดังนั้นในขณะกางแขนความมั่นคงของข้อไหล่จึงขึ้นกับการทำงานของกล้ามเนื้อ rotator cuffs และ posterior deltoid เป็นสำคัญ ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกที่มีความตึงตัวของกล้ามเนื้อ trapezius และ rhomboid ต่ำกว่าปกติ (flaccidity) มีการอ่อนแรงของ serratus anterior จะพบว่ามี scapular depression ร่วมกับ downward rotation ของแขนข้างอ่อนแรงขณะพักมากกว่าแขนข้างปกติ การเกิด downward rotation ในขณะทำ abduction ทำให้ locking mechanism ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ กล้ามเนื้อ deltoid และ rotator cuffs ไม่สามารถเกิด active force เสริมความมั่นคงของข้อไหล่ได้ ดังนั้นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่น่าจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาภาวะข้อไหล่เคลื่อนหลุดในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก การใช้เครื่องช่วยพยุงข้อไหล่ ระยะที่ความตึงตัวของกล้ามเนื้อในช่วง flaccid เป็นระยะเวลาที่สำคัญในการป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อรอบข้อไหล่ถูกยืด โดยเริ่มให้การดูแลโดยเร็วภายใน 1-2 วันหลังเกิด CVA เครื่องช่วยพยุงไหล่มีรูปแบบต่างๆจำนวนมากได้แก่ Single strap hemisling, Harris hemisling, Bobath shoulder roll, Henderson shoulder ring, Cavalier support, Rolyan humeral cuff sling และ GivMohr sling นอกจากนี้การให้คำแนะนำผู้ป่วยให้จัดที่วางเพื่อรองรับแขนข้างอ่อนแรงเพื่อไม่ให้น้ำหนักแขนดึงยืดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อไหล่เป็นวิธีการจัดการเบื้องต้นที่ดี การรักษาด้วยไฟฟ้า ในปัจจุบันการรักษาที่ดีที่สุดคือการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า พบว่าการกระตุ้นไฟฟ้าช่วยป้องกันการเกิดภาวะข้อไหล่เคลื่อนหลุดได้ดีกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่นถ้าทำในระยะแรกหลังเกิดโรคหลอดเลือดสมอง การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าจะไม่ให้ผลในรายที่เป็นมานานแล้ว กล้ามเนื้อที่มักถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้าคือ supraspinatus และ posterior deltoid

 

 

 

>>> ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  http://www.firstphysioclinics.com

>>> เฟิร์สฟิสิโอคลินิกกายภาพบำบัด (FIRSTPHYSIO)

>> > LINE ID: 0852644994

>>> TEL. 085-264-4994

More