All Posts tagged ความสำคัญของผู้ป่วยโรคไต

ตอนที่ 737 โรคไต มีกี่ระยะ?

ตอนที่ 737 โรคไต มีกี่ระยะ?


โรคไตมีหลายระยะ และมักจะแบ่งออกเป็น 5 ระยะหลัก
 ดังนี้:

ระยะเริ่มต้น ระยะ 1

          ในระยะนี้, ความเจ็บปวดและอาการจากโรคไตยังไม่มีหรือเป็นน้อยมาก บางครั้ง, ผู้ที่เป็นโรคไตอาจไม่รู้สึกอะไรมากหรือไม่มีอาการเลย.

การตรวจเลือดอาจแสดงค่าครีอะตินินด้วยอย่างสูงหรือความเสี่ยงในการเป็นโรคไต.

ระยะนี้มักเป็นตอนที่ประชากรมักไม่รู้สึกเจ็บหรือมีอาการมาก แต่ต้องการการตรวจสุขภาพเพื่อตรวจสอบค่าในเลือด.

ระยะเฉียบพลัน ระยะ 2

            ในระยะนี้, การทำงานของไตเริ่มมีปัญหาและเริ่มแสดงอาการของโรคไต.

อาการที่พบบ่อยในระยะนี้รวมถึงอ่อนเพลีย, มีปัญหาในการควบคุมความดันเลือด, บวม, ปัญหาการปัสสาวะ, น้ำหนักลดลง, ปัญหาเกี่ยวกับการสะสมสารเสพติดหรือสารพิษในร่างกาย, ค่าครีอะตินเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ.

ผู้ที่อยู่ในระยะนี้อาจจำเป็นต้องรับการรักษาเพื่อควบคุมอาการและลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต.

ระยะปลอดภัย ระยะ 3

            ระยะสุดท้ายของโรคไตเป็นระยะที่รุนแรงและต้องการการรักษาพิเศษ เช่นการได้รับการไตเทียบ หรือการนำไตแทนที่จะต้องทำในกรณีรุนแรง.

ผู้ที่อยู่ในระยะนี้มักมีภาวะไตเสื่อมรุนแรง, ความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงมาก, และอาจต้องรับการรักษาด้วยการแพทย์ที่มีความชำนาญในโรคไต.

ในบางกรณี,ผู้ที่อยู่ในระยะนี้อาจต้องรอคอยการบรรจุไต (kidney transplantation) เพื่อรักษาโรคไต.

ระยะที่ 4

           ในระยะนี้, GFR ระดับต่ำมาก, ซึ่งอาจน้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาที (ml/min) หรือแม้กระทั้ง 15 แต่ยังมีการกรองของไตอย่างน้อย.

-ผู้ที่อยู่ในระยะนี้มักมีอาการที่รุนแรงมากเช่นสุขภาพทั่วไปที่ทรุนแรง, ความล้าหมด, ความป่วยหรือไม่สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ.

-การควบคุมความดันเลือด, การควบคุมสารพิษในร่างกาย, การดูแลสุขภาพทั่วไปและรับการรักษาเพิ่มเติมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความเสี่ยงและรักษาอาการในระยะนี้.


ระยะที่ 5 (ไตล้วน)

             ระยะนี้เรียกว่า “ไตล้วน” (end-stage renal disease, ESRD) คือระยะที่ทรุดหรือไตเสื่อมถึงขีดจุดที่ไม่สามารถฟื้นฟูหรือรักษาไตให้กลับมาสู่สภาวะปกติได้.

-GFR ในระยะนี้มักต่ำกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาที หรือมีการกรองของไตน้อยมากถึงศูนย์.

-ผู้ที่อยู่ในระยะนี้ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์เพื่อรักษาชีวิต, ซึ่งอาจประกอบไปด้วยการกระตุ้นไตผ่าตัด (dialysis) หรือการไตเทียบ (kidney transplantation).

-ในกรณีที่ค่า GFR ล้วนมากที่สุด, ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการหรือรู้สึกว่าไม่สบาย แต่ต้องได้รับการดูแลสุขภาพและรับการรักษาอย่างใกล้ชิดเพื่อรักษาชีวิต.



ระยะที่ 4 และ 5 ของโรคไตมักเรียกว่า “ไตระดับสุดท้าย” และมีความเสี่ยงที่มากในการเสียชีวิต จึงต้องการความรักษาและการดูแลสุขภาพที่รอบคอบจากทีมแพทย์เชี่ยวชาญในโรคไต.

More

ตอนที่ 716 ความสำคัญของกายภาพบำบัดในผู้ป่วยโรคไต

ตอนที่ 716 ความสำคัญของกายภาพบำบัดในผู้ป่วยโรคไต

กายภาพบำบัดมีบทบาทสำคัญในการจัดการและรักษาผู้ป่วยโรคไต ต่อไปนี้เป็นเหตุผลสำคัญบางประการว่าทำไมการกายภาพบำบัดจึงมีความสำคัญสำหรับบุคคลที่เป็นโรคไต:

1. ปรับปรุงการเคลื่อนไหวและการทำงาน: โรคไตอาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ข้อตึง และการเคลื่อนไหวลดลง กายภาพบำบัดช่วยเพิ่มระยะการเคลื่อนไหว เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และปรับปรุงการทำงานของร่างกายโดยรวม ช่วยให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมประจำวันได้อย่างง่ายดายและเป็นอิสระมากขึ้น

2. การจัดการความเจ็บปวด: โรคไตอาจทำให้เกิดอาการปวดข้อ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออ่อนได้ เทคนิคกายภาพบำบัด เช่น การบำบัดด้วยตนเอง การออกกำลังกายบำบัด และวิธีการต่างๆ เช่น การบำบัดด้วยความร้อนหรือเย็น สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและไม่สบายได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น

3 เสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: โรคไตมักนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด กายภาพบำบัดอาจรวมถึงการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของผู้ป่วย ซึ่งช่วยปรับปรุงการทำงานของหัวใจและปอด ลดความดันโลหิต และปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดโดยรวม

4 ป้องกันภาวะแทรกซ้อน: ผู้ป่วยโรคไตมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคกระดูกพรุน และกล้ามเนื้อลีบ การทำกายภาพบำบัด รวมถึงการออกกำลังกายแบบยกน้ำหนักและการฝึกความต้านทาน สามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้โดยการส่งเสริมสุขภาพกระดูกและรักษามวลกล้ามเนื้อ

5 จัดการอาการบวมน้ำ: อาการบวมน้ำหรือบวมเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคไต เทคนิคกายภาพบำบัด เช่น การระบายน้ำเหลืองด้วยตนเอง การบีบอัด และการออกกำลังกายสามารถช่วยลดอาการบวมน้ำและปรับปรุงการไหลเวียนของน้ำเหลืองได้

6 เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีทางจิต: โรคไตอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วย นำไปสู่ความวิตกกังวล ซึมเศร้า และความเครียด กายภาพบำบัดไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงการทำงานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของจิตใจผ่านการปล่อยสารเอ็นโดรฟินที่เกิดจากการออกกำลังกาย และความรู้สึกโดยรวมของความสำเร็จและการเสริมพลัง

More