การทำกายภาพบำบัดทรวงอกในทารกและเด็ก
ข้อบ่งชี้ในการทำกายภาพบำบัดทรวงอก
- มีเสมหะเหนียวข้นหรือมีปริมาณมาก เช่น pneumonia, lung abscess , bronchiectasis
- ใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน นอนบนเตียงนานๆ เช่น เด็กที่เป็นสมองพิการ อัมพาต
- มีภาวะปอดแฟบ (atelectasis) เนื่องจากเสมหะอุดกั้นทางเดินหายใจ
- พิการแต่กำเนิด เช่น ไส้เลื่อนกะบังลม
- หลังถอดท่อช่วยหายใจใหม่ๆ เพื่อป้องกันปอดแฟบ
- ทารกแรกเกิดหรือเด็กเล็กที่มีเสมหะ ไม่สามารถไอเอาเสมหะออกเองได้
- ทารกที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง (bronchopulmonary dysplasia), สูดสำลักน้ำคร่ำ (meconium aspiration)
หยุดทำกายภาพบำบัดทรวงอก
- ไม่มีเสมหะตลอดช่วง 24-48 ชม. หลังจากที่ไม่ได้ทำกายภาพบำบัดทรวงอก
- เสียงปอดปกติ ไม่มีเสียงเสมหะ
- ภาพถ่ายรังสีทรวงอกปกติ
ข้อแนะนำ
- ควรทำขณะท้องว่าง คือก่อนหรือหลังให้นมหรือรับประทานอาหารแล้ว 1-2 ชม. เพื่อหลีกเลี่ยงอาเจียนและสำลักเอาเศษอาหารลงไปในหลอดลม
- รายที่ได้รับ aerosol therapy เช่น nebulized bronchodilators, warm NSS ควรพ่นก่อนการทำกายภาพบำบัดทรวงอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเสมหะถ้าจัดท่าเพียงวิธีเดียว ให้อยู่ท่าต่างๆ นาน 15 นาที
- ถ้าจัดท่าร่วมกับการเคาะหรือสั่นทรวงอกจะใช้เวลาท่าละ 3-5 นาที ในเด็กโต ทารกแรกเกิดใช้เวลาท่าละ 2-3 นาที ใช้เวลารวมทั้งหมดไม่เกิน 30 นาที
Chest physiotherapy ประกอบด้วย
1.การจัดท่าเพื่อระบายเสมหะ (Postural Drainage) เป็นวิธีการอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้หลอดลมของปอดส่วนที่จะทำการระบายเสมหะอยู่ในแนวดิ่งเพื่อให้เสมหะสามารถเคลื่อน ตัวตามแรงโน้มถ่วงของโลกจะทำให้เสมหะไหลออกจากหลอดลมเล็กสู่หลอดลมใหญ่ (ในทารกแรกเกิดและทารกนิยมจัดท่าร่วมกับการเคาะและการสั่นทรวงอก)
ข้อห้ามในการจัดท่าระบายเสมหะ
- มีอากาศคั่งในช่องเยื่อหุ้มปอด (Tension Pneumothorax) ยังไม่ได้รักษา
- เลือดออกในปอดหรือไอเป็นเลือด (Hemoptysis)
- โรคทางหัวใจและหลอดเลือดที่ยังไม่รักษา เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
- ผ่าตัดเชื่อมต่อหลอดอาหาร หลังผ่าตัดหัวใจ หัวใจ สมอง และผู้มีความดันในกะโหลกศีรษะสูง
- Pulmonary edema, congestive heart failure, large pleural effusion (น้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มปอดที่เป็นบริเวณกว้าง)
- Acute asthma หรือหายใจลำบากรุนแรง
- มีภาวะไหลย้อนของของเหลวจากกระเพาะอาหารไปสู่หลอดอาหาร (Gastroesophageal Reflux Disease: GERD)
- ทารกแรกเกิดที่มีภาวะความดันในปอดสูง (persistent pulmonary hypertension of newborn: PPHN) ที่เกิดอาการหายใจลำบากรุนแรง
ไม่จัดท่าศีรษะต่ำ ในทารกแรกเกิดที่อยู่ในภาวะวิกฤต สมองบวม ท้องอืดมาก รวมทั้งทารกคลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะทารกที่น้ำหนักน้อยกว่า 800 กรัม เพราะท่าศีรษะต่ำทำให้ความดันในสมองสูง เสี่ยงต่อเลือดออกในโพรงสมอง หรือเด็กที่เป็นBPD ซึ่งมักมีภาวะหายใจลำบากและมีปัญหา GERD ร่วมด้วยถ้าจำเป็นต้องระบายเสมหะควรจัดเป็นท่านอนราบหรือยกศีรษะสูงเล็กน้อย เน้นเคาะทรวงอกหรือสั่นทรวงอกตำแหน่งปอดส่วนล่าง เด็กที่มีท่อหลอดลมคออาจไม่สะดวกจัดท่าบางท่า ให้ระวังท่อเลื่อนหลุด
2.การเคาะทรวงอก (Percussion) เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนบริเวณทรวงอก แรงสั่นสะเทือนจะผ่านไปยังหลอดลมทำให้เสมหะที่ติดอยู่ผนังหลอดลมหลุดออก โดยการทำมือให้เป็นลักษณะคุ้ม นิ้วแต่ละนิ้วชิดกัน (cupped hand) เคาะขนานกับกระดูกซี่โครง ในทารกแรกเกิดใช้ปลายนิ้วช้อนกันแล้วเคาะโดยใช้ข้อมือเคาะเบาๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอหรือใช้แก้วยาขนาดเล็กหรือส่วนหัวของสเตทโตสโคปเคาะแทนมือได้ บริเวณที่ทำการเคาะควรรองด้วยผ้าบาง

3.การสั่นทรวงอก (Vibration) เป็นการช่วยให้เสมหะเคลื่อนตัวออกจากหลอดลมเล็กเข้าสู่หลอดลมใหญ่ ในเด็กโตใช้มือข้างเดียวหรือสองข้างวางซ้อนกัน วางราบบนผิวหนังบริเวณทรวงอก ในเด็กเล็กใช้นิ้วมือทั้งสี่นิ้ว และในทารก/ทารกแรกเกิดใช้ปลายนิ้วมือ โดยทำปลายนิ้วมือสั่นในขณะหายใจออก หรือทำการสั่นสะเทือนด้วยเครื่องมือ เช่น เครื่องนวดตัวหรือนวดหน้า ใช้ในเด็กโต แปรงสีฟันไฟฟ้า ใช้ในทารกและเด็กเล็ก
ข้อควรระวังในการเคาะหรือสั่นทรวงอก
- ไม่เคาะหรือสั่นทรวงอกในทารกหรือเด็กที่กระดูกซี่โครงหัก เลือดออกในปอด/ไอเป็นเลือด มีแผลเปิดที่ผนังทรวงอกหรือใส่ท่อระบายจากทรวงอก เลือดออกง่ายจากเกล็ดเลือดต่ำกว่า 30000/ลบ.มม. วัณโรคปอดชนิดเฉียบพลัน ทารกแรกเกิดที่ไม่สามารถทนต่อการทำได้ เช่น หัวใจเต้นช้าลง , SaO2ลดลง, หายใจลำบากมากขึ้น, ทารกน้ำหนักน้อยกว่า 1,500 กรัม เพราะเสี่ยงเลือดออกในโพรงสมอง และผู้ที่มีข้อห้ามในการจัดท่าระบายเสมหะ
- ขณะไอไม่ควรทำการเคาะปอด นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังรบกวนการไอ ทำให้ไอไม่ได้ผล
- หลีกเลี่ยงการเคาะบริเวณท้อง หลังด้านล่าง กระดูกสันหลัง หัวไหล่ ต้นคอ และทรวงอกเด็กหญิงที่เริ่มเป็นสาว
- ระหว่างทำควรประเมินการหายใจร่วมกับ SaO2หากมีภาวะหายใจลำบากมากขึ้น หรือ SaO2ลดลงอย่างรวดเร็ว ควรหยุดทำเป็นระยะๆรอจนกว่าอาการแสดงหรือ SaO2 กลับสู่สภาพเดิมก่อนการทำ
- การกำจัดเสมหะ (Secretion Removal) เช่น การดูดเสมหะ การไอ
การดูดเสมหะ
ตั้งความดันลบในการดูดเสมหะ ดังนี้
- ทารกคลอดก่อนกำหนด ใช้ความดันลบ 40-80 mmHg (4-8 cmHg)
- ทารก ใช้ความดันลบ 60-100 mmHg (6-10 cmHg)
- เด็ก ใช้ความดันลบ 100-120 mmHg (10-12 cmHg)
ข้อบ่งชี้ในการดูดเสมหะ
- เด็กมีอาการของการอุดกั้นทางเดินหายใจ เช่น RR เพิ่ม , HR เพิ่ม, ปีกจมูกบาน, SaO2 ลดลง, กระสับกระส่าย, เสียงเสมหะครืดคราดในลำคอ
- ไม่รู้สึกตัว ใส่ท่อช่วยหายใจ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถขับเสมหะออกมาเองได้
ข้อห้ามในการดูดเสมหะ
- ตอบสนองไวกว่าปกติต่อการดูดเสมหะ, มีภาวะ thrombocytopenia หรือกำลังได้รับการรักษาด้วย systemic anticoagulant, ผ่าตัดบริเวณ pharynx, กล่องเสียงอักเสบ (epiglotitis) หรือเพิ่งได้รับอาหาร
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการดูดเสมหะ
- ขาดออกซิเจน, ชีพจรเต้นผิดจังหวะ, ติดเชื้อ, ความดันต่ำ, ปอดแฟบ, เยื่อบุหลอดลมถูกทำลาย, การอาเจียนและสำลักอาหาร
>>> ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.firstphysioclinics.com
>>> เฟิร์สฟิสิโอคลินิกกายภาพบำบัด (FIRSTPHYSIO)
>> > LINE ID: 0852644994
>>> TEL. 085-264-4994ตอนที่18
More
การดูแลรักษากล้ามเนื้อกระดูกเชิงกรานภายหลังการคลอด
ขณะตั้งครรภ์ร่างกายสตรีจะมีการเปลี่ยนแปลงในหลายระบบ โดยเฉพาะบริเวณอุ้งเชิงกรานมีการปรับตัวเพื่อรอบรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ กล้ามเนื้อหน้าท้องขยายใหญ่ และดึงถ่วงน้ำหนักตัวของสตรีตั้งครรภ์ไปด้านหน้า ทำให้กระดูกสันหลังต้องทำงานมากขึ้น ทำให้เกิดลักษณะแอ่นหลังมากผิดปกติ ร่วมกับเนื้อเยื่อบริเวณหลังและอุ้งเชิงกรานจะอ่อนนุ่มไม่แข็งแรงเหมือนก่อนตั้งครรภ์ ทำให้สตรีมีอาการปวดเมื่อยบริเวณหลัง ปวดร้าวในช่องท้อง และอาจปวดบริเวณกระดูกหัวเหน่า และก้นกบได้ บริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานต้องรับน้ำหนักตัว ขนาดของมดลูกที่เพิ่มขึ้นมาก จะไปกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยประกอบกับอาการเคลื่อนไหวไม่คล่องตัว อาจทำให้เกิดปัญหาปัสสาวะเล็ด ซึ่งอาการดังกล่าว สามารถป้องกันได้ระดับหนึ่ง โดยการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังอย่างถูกวิธี และการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงตั้งแต่ขณะตั้งครรภ์ และภายหลังการคลอดธรรมชาติทางช่องคลอด หากสตรีได้เตรียมตัวมาอย่างดี มีร่างกายแข็งแรง รวมทั้งบุคลากรช่วยการคลอดมีความเข้าใจร่วมกัน กรณีที่ทารกปกติ การคลอดทางช่องคลอดด้วยการเบ่งคลอดเองก็จะเป็นประสบการณ์ที่ดีของมารดาและทารก บริเวณอุ้งเชิงกรานที่ต้องทำงานอย่างหนักก็จะไม่บาดเจ็บมาก อย่างไรก็ตาม หากมีการบาดเจ็บบริเวณนี้ควรได้รับการเอาใจใส่ดูแลรักษา เพื่อจะทำให้อุ้งเชิงกรานกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
การดูแลรักษาอุ้งเชิงกรานภายหลังคลอด
- ในระยะ24ชั่วโมงแรกหลังคลอด ควรลดการอักเสบ การช้ำบวม เช่น การใช้ประคบเย็น
- การนอนหงายพักเต็มที่ วันละ2ชั่วโมง เป็นเวลา14วัน ไม่ควรนั่งอยู่นานๆ
- ควรลดการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการยืน เดิน
- ออกกำลังกายทั่วไปอย่างเบาๆในท่านอนหงาย ภายหลังจจาก24ชั่วโมงแรกแล้ว
- ไม่ควรขมิบบริเวณอุ้งเชิงกรานทันทีในระยะแรกถึง24ชั่วโมง เนื่องจากอุ้งเชิงกรานยังอักเสบอยู่และจะทำให้เพิ่มรอยแผลเป็นด้วย
- หลังจากคลอด2-3วัน เมื่อเนื้อเยื่อคอลลาเจนแข็งแรงเพียงพอจึงเริ่มออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
- สามารถใช้ผ้าอนามัยรวมกับกางเกงชั้นในที่พอดีตัวเพื่อกระชับบริเวณอุ้งเชิงกราน
- ควรนอนคว่ำบนหมอน วันละ30นาที เป็นเวลา14วัน เพื่ออาศัยแรงโน้มถ่วงช่วยให้มดลูกกลับมาอยู่ในสภาวะก่อนคลอด
- การเริ่มออกกำลังกายโดยเร็วจะป้องกันการอ่อนกำลัง และการสูญเสียความทนทานของอุ้งเชิงกราน โดยหลังจาก24ชั่วโมงให้ขมิบอุ้งเชิงกราน โดยเริ่มจากจำนวนน้อยๆก่อน เช่น ขมิบ3ครั้ง เกร็งไว้ครั้งละ3วินาที แล้วปล่อยพัก5วินาที ค่อยทำครั้งต่อไป และขมิบแรงแล้วปล่อยทันที3ครั้ง วันละ5ชุด แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเป็น5ครั้ง เกร็งครั้งละ5วินาที
- ประมาณ3เดือนเป็นต้นไป สามารถขมิบได้10ครั้ง ครั้งละ10วินาที ขมิบแรง10ครั้ง
More
การใช้อุปกรณ์ช่วยและอุปกรณ์เสริมรยางค์บนในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
- อุปกรณ์ประคองข้อไหล่ (shoulder slings) ใช้ประคองข้อไหล่ เพื่อป้องกันข้อไหล่เคลื่อน (shoulder subluxation)
- ระยะอ่อนปวกเปียก (flaccid stage)
อุบัติการณ์การเกิดข้อไหล่เคลื่อนหลุดในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกประมาณร้อยละ 50-80
Shoulder slings มีหลายชนิดเช่น
- Bobath’s sling หรือ Modified’s bobath sling
- Rolyan humeral cuff sling
การใช้อุปกรณ์ประคองข้อไหล่ เป็นการพยุงข้อไหล่ไว้เท่านั้น ไม่สามารถทำให้หัวกระดูกต้นแขนกลับเข้าไปในเบ้าของข้อไหล่ได้อย่างถาวร ขณะเดียวกันถ้าผู้ป่วยใช้ตลอดเวลาโดยไม่บริหารอาจทำให้ข้อไหล่ติดได้
1.2 ระยะหดเกร็ง (spastic)
ถ้าผู้ป่วยยังมีข้อไหล่เคลื่อน จำเป็นต้องใส่อุปกรณ์ช่วยพยุงหัวไหล่ต่อไป
- อุปกรณ์ดามแขนและมือ (splints)
2.1 ระยะอ่อนปวกเปียก (flaccid stage)
Splints ในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกในระยะนี้ ใช้เพื่อป้องกันข้อยึดติดจากการอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานๆ splints ที่ใช้เป็น static splints ซึ่งจัดให้ข้อมือและมืออยู่ในท่ากระดกข้อมือประมาณ 20-30 องศา งอข้อนิ้วมือ ประมาณ 45 องศา ข้อ PIP ประมาณ 30-45 องศา และงอ DIP ประมาณ 20 องศา เพื่อให้ข้อมือและมืออยู่ในท่าที่เหมาะสมกับการทำงาน
2.2 ระยะหดเกร็ง (spastic)
ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกที่เข้าสู่ระยะหดเกร็ง แต่ยังไม่สามารถใช้งานของมือได้ ต้องระวังการยึดติดของข้อมือและนิ้วมือในท่างอ
>>> ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.firstphysioclinics.com
>>> เฟิร์สฟิสิโอคลินิกกายภาพบำบัด (FIRSTPHYSIO)
>> > LINE ID: 0852644994
>>> TEL. 085-264-4994ตอนที่18
More
By Firstphysio Clinic
08 Jan, 2017
อุปกรณ์กายภาพบำบัด
Crutch, กายภาพบำบัด, กิจกรรมบำบัด, คลินิก, บริบาล, ผู้สูงอายุ, ฟื้นฟู, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, อุปกรณ์กายภาพบำบัด, อุปกรณ์ดูแลคนแก่
การใช้ไม้ค้ำยัน (Crutch) ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
เป็นเครื่องช่วยเดินที่มีจุดสัมผัสร่างกาย 2 จุดช่วยกันรับน้ำหนัก ไม่ค่อยนิยมใช้ในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกเนื่องจากต้องใช้มือทั้งสองข้างจับไม้ค้ำยัน และต้องมีกำลังแขนพอที่จะยกไม้ค้ำยันไปข้างหน้าได้ ตัวอย่างเช่น ซึ่งเป็นไม้ค้ำยันที่มีแกนเดียว ปลายบนสุดมีห่วงใช้สวมกับแขน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปล่อยมือจากไม้ค้ำยันได้ชั่วคราวโดยไม้ค้ำยันไม่หลุดจากแขนและไม้ค้ำยันรักแร้ (axillary crutch) ทำจากไม้หรืออลูมิเนียมกลวงยาวสองชิ้นมีแกนขวางยึดปลายบนและช่วงกลางของท่อทั้งสองชิ้นไว้ด้วยกัน แกนคู่บนใช้ยันกับผนังทรวงอกด้านข้างแกนคู่ล่างใช้สำหรับมือจับ
การวัดขนาดความสูงของไม้ค้ำยันรักแร้ในท่ายืน ทำได้โดยวัดระยะจาก anterior axillary fold ถึงพื้นตำแหน่งที่ห่างจากนิ้วก้อยเท้า 6 นิ้วฟุต ส่วนแกนที่ใช้มือจับ ให้อยู่ในระดับที่จับแล้วข้อศอกงอประมาณ 30 องศา และบ่าทั้งสองข้างอยู่ในระดับปกติ
>>> ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.firstphysioclinics.com
>>> เฟิร์สฟิสิโอคลินิกกายภาพบำบัด (FIRSTPHYSIO)
>> > LINE ID: 0852644994
>>> TEL. 085-264-4994ตอนที่18
More
By Firstphysio Clinic
08 Jan, 2017
อุปกรณ์กายภาพบำบัด
Walker, กายภาพบำบัด, กิจกรรมบำบัด, คลินิก, บริบาล, ผู้สูงอายุ, ฟื้นฟู, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, อุปกรณ์กายภาพบำบัด, อุปกรณ์ดูแลคนแก่
การใช้โครงโลหะช่วยเดิน (walker) ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
เป็นเครื่องช่วยเดินที่มีลักษณะคล้ายกับราวคู่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการทรงตัวหรือมีปัญหาทางออร์โธปิดิกส์อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดเข่าทั้งสองข้าง มือและแขนทั้งสองข้างของผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยเดินชนิดนี้ต้องสามารถจับและยก walker ไปข้างหน้าได้ ข้อดีคือให้ความมั่นคงปลอดภัย ข้อเสียคือทำให้ท่าเดินไม่เป็นธรรมชาติ เกะกะ ขึ้นลงบันไดไม่ได้ และไม่สะดวกที่จะใช้นอกบ้าน
ความสูงของ walker ที่เหมาะสมคือระดับเอว ขณะใช้มุมของข้อศอกงอประมาน 20 องศา walker ชนิดที่มีล้อข้างหน้าเรียกว่า rollator ซึ่งใช้จับและผลักด้วยมือข้างเดียวได้เหมาะสำหรับเดินบนพรม แต่ให้ความมั่นคงน้อย ลื่นไถลได้ง่าย

>>> ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.firstphysioclinics.com
>>> เฟิร์สฟิสิโอคลินิกกายภาพบำบัด (FIRSTPHYSIO)
>> > LINE ID: 0852644994
>>> TEL. 085-264-4994ตอนที่18
More