By Firstphysio Clinic
22 Nov, 2023
ALL Physical Therapy Equipment, disease, PT, พาร์กินสัน, โรคพาร์กินสัน
Parkinson, Parkinson’s disease, กายภาพบำบัด, คลินิก, บริบาล, ผู้สูงอายุ, พาร์กินสัน, พาร์กินสันคืออะไร, พาร์กินสันเกิดจากอะไร, ฟื้นฟู, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, อุปกรณ์ดูแลคนแก่
โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นหลัก มันเกิดขึ้นเมื่อเซลล์สมองที่ทำหน้าที่ผลิตโดปามีนซึ่งเป็นสารเคมีส่งสารถูกทำลายหรือตาย โดปามีนมีบทบาทสำคัญในการประสานการเคลื่อนไหว ดังนั้นการขาดโดปามีนจึงนำไปสู่อาการของโรคพาร์กินสัน
สาเหตุที่แท้จริงของโรคพาร์กินสันยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ อย่างไรก็ตาม การวิจัยชี้ให้เห็นว่าปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันมีบทบาทในการพัฒนา การกลายพันธุ์และความแปรผันทางพันธุกรรมบางอย่างเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ การสัมผัสกับสารพิษบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลงและยากำจัดวัชพืช ก็อาจทำให้เกิดอาการได้เช่นกัน
อาการที่พบบ่อยที่สุดของโรคพาร์กินสัน ได้แก่ อาการสั่น (ตัวสั่น) อาการตึง การเคลื่อนไหวช้า (เต้นช้า) และปัญหาเกี่ยวกับความสมดุลและ การประสานงาน อาการอื่นๆ อาจรวมถึงการสูญเสียกลิ่น รบกวนการนอนหลับ อารมณ์เปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงด้านการรับรู้ เช่น ปัญหาด้านความจำและความยากลำบากในการคิด
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากไม่มีการทดสอบที่แน่ชัด โดยทั่วไปนักประสาทวิทยาจะประเมินประวัติการรักษาของผู้ป่วย ตรวจร่างกาย และประเมินอาการที่เฉพาะเจาะจง แพทย์อาจสั่งการตรวจด้วยภาพ เช่น MRI หรือ CT scan เพื่อแยกแยะเงื่อนไขอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายกัน
ในบางกรณี นักประสาทวิทยาอาจใช้การทดลองยาเพื่อสังเกตการตอบสนองของผู้ป่วย ซึ่งเป็นการตอบสนองเชิงบวกต่อ ยาพาร์กินสันสามารถช่วยยืนยันการวินิจฉัยได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทางคลินิกและการมีอยู่ของอาการที่มีลักษณะเฉพาะเป็นหลัก
เป็นสิ่งสำคัญสำหรับบุคคลที่ประสบกับอาการของโรคพาร์กินสันที่จะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการจัดการที่เหมาะสม กลยุทธ์ การวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์การรักษาที่ดีขึ้นและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้ที่ป่วย
More
By Firstphysio Clinic
18 Oct, 2023
Diabetes Mellitus, disease, DM
Diabetes Mellitus, DM, Stroke, กายภาพบำบัด, คลินิก, บริบาล, ผู้สูงอายุ, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, อุปกรณ์กายภาพบำบัด, อุปกรณ์ดูแลคนแก่, เบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อวิธีที่ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือกลูโคส เกิดขึ้นเมื่อตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ซึ่งมีหน้าที่เปลี่ยนกลูโคสให้เป็นพลังงาน หรือร่างกายของคุณต้านทานต่ออินซูลินที่ผลิตได้
อาการที่พบบ่อยของโรคเบาหวาน ได้แก่ กระหายน้ำและหิวมากขึ้น ปัสสาวะบ่อย โดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลด เหนื่อยล้า ตาพร่ามัว แผลหายช้า และติดเชื้อบ่อย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือผู้ป่วยโรคเบาหวานบางคนอาจไม่แสดงอาการที่เห็นได้ชัดเจน
สาเหตุของโรคเบาหวานแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภท:
1. โรคเบาหวานประเภท 1: ประเภทนี้เป็นโรคภูมิต้านตนเองซึ่งระบบภูมิคุ้มกันโจมตีและทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อนอย่างผิดพลาด ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมมีบทบาท
2 โรคเบาหวานประเภท 2: ประเภทนี้มีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยในการดำเนินชีวิต เช่น โรคอ้วน การใช้ชีวิตอยู่ประจำที่ อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และความบกพร่องทางพันธุกรรม เกิดขึ้นเมื่อร่างกายต้านทานต่ออินซูลินหรือผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอที่จะรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ
3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์: ประเภทนี้เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์และมักจะหายไปหลังคลอด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อการทำงานของอินซูลิน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลตลอดชีวิต แม้ว่าฉันจะให้ข้อมูลทั่วไปแก่คุณได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญบางประการในการจัดการโรคเบาหวาน:
1. การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ: รับประทานอาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยธัญพืช โปรตีนไร้ไขมัน ผลไม้ ผัก และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ จำกัดการบริโภคอาหารแปรรูป เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล และของหวานที่มีน้ำตาลสูง พิจารณาการควบคุมสัดส่วนและเว้นระยะห่างมื้ออาหารตลอดทั้งวัน
2. การออกกำลังกายเป็นประจำ: ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ตั้งเป้าออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาที เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ ให้รวมการออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแกร่งเพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อและปรับปรุงความไวของอินซูลิน
3 การใช้ยา: ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรคเบาหวาน แพทย์อาจสั่งยารับประทาน ฉีดอินซูลิน หรือทั้งสองอย่างรวมกันเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การกินยาตามที่กำหนดและติดตามระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ
4 การตรวจสอบน้ำตาลในเลือด: ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเป็นประจำโดยใช้เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดหรือระบบตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าร่างกายของคุณตอบสนองต่ออาหาร กิจกรรม และยาต่างๆ อย่างไร เก็บบันทึกการอ่านของคุณและแบ่งปันกับทีมดูแลสุขภาพของคุณ
5. การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจเข้าลึกๆ การทำสมาธิ หรือทำงานอดิเรกเพื่อจัดการระดับความเครียด
6. การตรวจสุขภาพเป็นประจำ: นัดเวลาเป็นประจำกับทีมดูแลสุขภาพของคุณเพื่อติดตามการจัดการโรคเบาหวาน ปรับยาหากจำเป็น และแก้ไขข้อกังวลหรือภาวะแทรกซ้อน
7 การศึกษาและการสนับสนุน: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับโรคเบาหวานด้วยการเข้าร่วมโปรแกรมการศึกษา อ่านแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียง และเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน การให้ความรู้ตัวเองเกี่ยวกับโรคเบาหวานช่วยให้คุณมีข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองได้
More
By Firstphysio Clinic
03 Oct, 2023
Diabetes Mellitus, disease, DM, การดูแลตนเอง
Diabetes Mellitus, DM, Stroke, กายภาพบำบัด, คลินิก, บริบาล, ผู้สูงอายุ, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, อุปกรณ์กายภาพบำบัด, อุปกรณ์ดูแลคนแก่, เบาหวาน
เมื่อพูดถึงการกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีข้อควรระวังบางประการที่ควรคำนึงถึง:
1. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด: ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อน ระหว่าง และหลังการทำกายภาพบำบัด สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในช่วงที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
2. การดูแลเท้า: ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักจะมีความรู้สึกที่เท้าลดลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่เท้าได้ ก่อนทำกายภาพบำบัด ควรตรวจสอบเท้าว่ามีบาดแผล แผล หรือตุ่มพองหรือไม่ แนะนำให้สวมรองเท้าที่เหมาะสมและถุงเท้าป้องกันระหว่างการบำบัด
3. การให้น้ำ: ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้นควรกระตุ้นให้พวกเขาดื่มน้ำปริมาณมากทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการทำกายภาพบำบัด การให้ร่างกายไม่ขาดน้ำสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
4. การจัดการยา: หากผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับประทานยาตามขนาดที่กำหนดก่อนทำกายภาพบำบัด การปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ให้บริการด้านสุขภาพเกี่ยวกับการจัดการยาเป็นสิ่งสำคัญ
5 การสื่อสารกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ: จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องสื่อสารกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพและแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการกายภาพบำบัด ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพสามารถให้คำแนะนำและข้อควรระวังเฉพาะโดยขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล
More
By Firstphysio Clinic
15 Jan, 2017
อุปกรณ์กายภาพบำบัด
TENS, กายภาพบำบัด, กิจกรรมบำบัด, คลินิก, บริบาล, ผู้สูงอายุ, ฟื้นฟู, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ, อุปกรณ์กายภาพบำบัด, อุปกรณ์ดูแลคนแก่
เครื่องกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด
(Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation, TENS)
– เป็นกระแสไฟฟ้ากระตุ้นประสาทผ่านผิวหนังเพื่อลดปวด
– phase duration ~80-500 µs โดยมีค่าความเข้ม ~50-100 mA และมีค่าความถี่ตั้งแต่ 2-150 Hz
– ลักษณะรูปคลื่นมีหลายรูปแบบขึ้นกับบริษัทที่ผลิต บางเครื่องเป็น monophasic บางเครื่องเป็น symmetrical biphasic หรือ asymmetrical biphasics pulse
– ส่วนใหญ่ให้ผลในการลดปวด โดยกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่ากระตุ้นเส้นประสาทยนต์
ชนิดของ TENS ซึ่งขึ้นกับคุณสมบัติของพารามิเตอร์
1.Conventional TENS หรือ HI-TENS
มีความถี่ประมาณ 50-150 Hz ช่วงกระตุ้นนอน โดยเพิ่มความเข้มของกระแสไฟจนกระทั่งผู้ป่วยรู้สึก โดยไม่เห็นการหดของกล้ามเนื้อขณะกระตุ้น การตั้งค่าพารามิเตอร์นี้พัฒนาจากพื้นฐานของทฤษฎี “gait control” พบว่าการกระตุ้นแบบ conventional mode นี้จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย แม้ว่าช่วงเวลาที่อาการปวดลดลงนี้จะสั้นและเกิดaccomadation ต่อตัวกระตุ้นสูง ถ้าเปรียบเทียบกับอันอื่น เมื่อกระตุ้นได้ 5-10 นาทีผู้ป่วยจะรู้สึกว่าความแรงของกระแสไฟลดลงแค่ความเป็นจริงคือผู้ป่วยเริ่มเกิดความเคยชินต่อการรับรู้(perception)ของความแรงของตัวกระตุ้นจนความรู้สึกเปลี่ยนไป
- Acupuncture-Like Or Lo-TENS
จะมีความถี่ประมาณ 1-4 Hz , pulse width > 200 µs โดยเพิ่มความเข้มของกระแสไฟจนถึงระดับ”patient tolerance” เป็นเวลา 20-30 นาที ต่อครั้ง ต่อวัน และทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง
- BRIEF,INTENSE TENS
จะมีความถี่มากกว่า 100 Hz, pulse width 150-250 µs (ความถี่สูงช่วงกระตุ้นยาว)ตั้งความเข้มของกระแสไฟจนถึงระดับสูงสุดที่ผู้ป่วยจะทนได้หรือเรียกว่าระดับ”patient tolerance” การกระตุ้นนี้จะไปลด activity ของ A delta , C fiber ทำให้ conduction velocity ช้าลง
- BURST , OR PULSE-TRAIN TENS
เป็นการผสมผสานกันระหว่าง Hi-TENS กับ Lo-TENS คือมี High frequency ในลูกเล็กๆ(70-100Hz)และในลูกใหญ่1-4 Hz มักให้ผลในการรักษาดีเพราะผู้ป่วยรู้สึกสบายไม่เจ็บมาก
- MODULATED TENS
คือการมี pulse width และ pulse rate ที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งเชื่อว่ามีผลในการป้องกันการปรับตัว (adaption)ของใยประสาทต่อกระแสไฟ
ข้อบ่งชี้ทางคลินิก
อาการเจ็บปวดระยะเฉียบพลัน (acute pain)
การรักษาผู้ป่วยระยะเฉียบพลันมักได้ผลดีเมื่อรักษาด้วย conventional TENS (Hi-TENS) โดยTENS จะป้องกันการเกิดความเจ็บปวดจากการเกร็งค้างของกล้ามเนื้อในรายที่ยังมีความเจ็บปวดอยู่แต่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย TENS มักถูกนำมาใช้ในการกระตุ้นลดปวดเพื่อให้ผู้ป่วยกลับสู่กิจวัตรประจำวันตามปกติโดย TENS มักถูกนำมาใช้ใน minor sport injury เช่น mild shoulder contusion , rib contusion , ankle sprain อย่างไรก็ตามนักกายภาพบำบัดควรมีความระมัดระวังและคำนึงถึงผู้ป่วยที่เป็นโรค rheumatoid และการบาดเจ็บในนักกีฬาเนื่องจากความเจ็บปวดอาจมีประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้ส่วนนั้นๆของร่างกายถูกใช้งานมากเกินไปเพราะฉะนั้นการกระตุ้นด้วยTENS ควรใช้หลังช่วงที่มีการป้องกันไม่ให้ส่วนนั้นๆเคลื่อนไหวหรือใช้งานมากเกินไป
อาการเจ็บปวดระยะเรื้อรัง
ปัญหาทางคลินิกของผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บปวดระยะเรื้อรัง(chronic pain) ที่ต้องระมัดระวังคือผู้ป่วยที่ต้องพึ่งยา เช่น พวกที่มีปัญหาทางจิตเวชหรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง(behavior disturbances)นอนไม่หลับ ไม่อยากอาการบางคนจะมีการลดลงของ pain toleranceและมีการขาดสาร นอกจากจะลดปวดแล้วยังช่วยให้ผู้ป่วยเหล่านี้ไม่พยายามมากเกินไป รักษาหายแล้วได้ผลดีในกรณี เช่น LBP, rheumatoid arthritis, regeneration joint disease, causalgia , peripheral neuropthy , peripheral nerve injury , phantom pain , migrate headache
กลไกลและทฤษฏีความเจ็บปวด
ทางเดินประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวด(Pain pathway)
Nociceptors
- Cutaneous Nociceptors เครื่องรับการกระตุ้นซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดที่อยู่บริเวณ cutaneous แบ่งเป็น
- A delta fiber – small Myelinated nerve fiber
– ตอบสนองต่อตัวกระตุ้นเชิงกลที่รุนแรง(High threshold)
– ส่งกระแสประสาทความรู้สึกเจ็บปวดด้วยความเร็ว(fast pain)รู้ตำแหน่งที่แน่นอน ลักษณะเป็น pricking pain
- C fiber/free nerve ending เจ็บ(Subpain threshold) จะทำให้กระแสไฟฟ้าจาก A beta เอาชนะ กระแสไฟฟ้าที่มาจาก A delta , C fiber ด้วยเครื่องกระตุ้นชนิด Hi-TENS , IFC ช่วงความถี่สูง 100- 150Hz
การกระตุ้นเส้นประสาทเส้นใหญ่(A beta)จะช่วยลดปวดได้โดยการส่งกระแสประสาทไปเร้าที่ SG cellเพื่อให้SG cell เป็นตัวทำหน้าที่ยับยั้งการส่งผ่านของใยประสาท A delta, C fiber ที่ไปกระตุ้น T cell และตัวมันเองก็ทำหน้าที่ยับยั้ง T cell โดยตรงซึ่งเรียกการยับยั้งลักษณะนี้ว่า Gate close
ตรงกันข้าม small fiber จะไปลดการทำงาน SG cell และไปเพิ่มการทำงานของ T cell เพื่อให้กระแสไฟฟ้าที่นำความเจ็บปวดส่งผ่านไปยังสมอง เรียกว่า Gate open
- Morphine type
มีผลต่อ C fiber โดยการไปกระตุ้น A delta fiber ด้วยความถี่ต่ำๆและใช้ความเข้มของกระแสไฟระดับ suppain tolerance ( รู้สึกเจ็บจนทนไม่ได้) ด้วยเครื่องกระตุ้นชนิด Lo-TENS หลั่งกระตุ้นจะมีการหลังสาร neurotransmitter คือ enkephalin , beta-endorphin
– เส้นประสาทนี้ทำหน้าที่แยกแยะลักษณะต่างๆของความรู้สึกเจ็บปวด เช่น ความรุนแรงของตัวกระตุ้น ระยะเวลาในการกระตุ้นบริเวณที่มีการกระตุ้น
- Paleospinothalamic tract
– Synapse มาก ส่งกระแสประสาทได้ช้า
– เกิดร่วมกับอารมณ์ที่ไม่พึงพอใจและการตอบสนองโดยอัตโนมัติต่อความเจ็บปวด
- Spinoreticular tract
- Spinomesencephalic tract
– ไม่สามารถแยกแยะคุณลักษณะของความรู้สึกเจ็บปวดได้
– อาจกระตุ้น descending inhibitory activity
- Spinocervical fraction
– วิ่งตรงขึ้น lateral cervical nucleus
– สิ้นสุดที่ thalamus ด้านตรงข้าม
- ใยประสาทบางเส้นที่อยู่ใน dorsal column จะตอบสนองต่อตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด
การควบคุมความรู้สึกเจ็บปวด(Control of pain)
- Gate Control Theory
มีผลทั้ง A delta และ C fiber ใน posterior horn จากการกระตุ้น mechanoreceptor ของ A bata fiber ด้วยความถี่สูง ด้วยความเข้มของกระแสไฟฟ้าระดับที่ไม่ทำให้ผู้ถูกกระตุ้นรู้สึกเจ็บ(subpain threshold) จะทำให้กระแสไฟฟ้าจาก A beta เอาชนะกระแสไฟฟ้าที่มาจาก A delta , C fiber ด้วยเครื่องกระตุ้นชนิด Hi-TENS,IFC ช่วงความถี่สูง 100-150 Hz
การกระตุ้นเส้นประสาทเส้นใหญ่(A beta) จะช่วยลดปวดได้โดยการส่งกระแสประสาทไปเร้าที่ SG cell เป็นตัวทำหน้าที่ยับยั้งการส่งผ่านของใยประสาท A delta, C fiber ที่ไปกระตุ้น T cell และตัวมันเองก็ทำหน้าที่ยับยั้ง T cell โดยตรง ซึ่งเรียกการยับยั้งลักษณะนี้ว่า Gate close
ตรงกันข้าม small fiber จะไปลดการทำงานของ SG cell และไปเพิ่มการทำงานของ T cell เพื่อให้กระแสไฟฟ้าที่นำความเจ็บปวดส่งผ่านไปยังสมองที่เรียกว่า Gate open
- Morphine type
มีผลต่อ C fiber โดยการไปกระตุ้น A delta fiber ด้วยความถี่ต่ำๆและใช้ความเข้มของกระแสไฟระดับ subpain tolerance(รู้สึกเจ็บจนแทปทนไม่ได้) ด้วยเครื่องกระตุ้น Lo-TENS หลังกระตุ้นจะมีการหลั่งสาร neurotransmitter คือ enkephalin,beta-endorphin
ตารางแสดงกระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำชนิดต่างๆที่นำมาใช้ในทางกายภาพบำบัด
ความถี่(รอบ/วินาที) |
ช่วงกระตุ้น(มิลลิวินาที) |
ชื่อกระแสไฟฟ้า |
กระแสไฟตรง/สลับ |
ภาวะที่ใช้ในกายภาพบำบัด |
0 |
|
ไฟตรง |
|
ผลักดันน้ำยาเข้าไปในร่างกายลดบวม ลดปวด |
50 |
|
ไซนูซอยด์(sinusoid) |
|
การแพลงของกล้ามเนื้อและข้อต่อ เพิ่มการไหลเวียน |
|
|
ไดอัพไดนามิค |
|
|
|
|
ฟาราดิก |
|
|
|
|
ตรงเป็นช่วงๆ |
|
การแพลงของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ลดปวด เพิ่มการไหลเวียน |
|
|
ทีอีเอ็นเอส |
|
ลดปวด ลดการเกร็ง |
|
|
ตรงศักย์สูง |
|
ลดปวด กระตุ้นกล้ามเนื้อที่มีเส้นประสาทมาเลี้ยง |
|
|
อินเตอเฟอเรนเชียล |
|
ลดปวด
กระตุ้นกล้ามเนื้อที่มีเส้นประสาทมาเลี้ยง |
>>> ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.firstphysioclinics.com
>>> เฟิร์สฟิสิโอคลินิกกายภาพบำบัด (FIRSTPHYSIO)
>> > LINE ID: 0852644994
>>> TEL. 085-264-4994ตอนที่18
More