All Posts tagged Stroke

ตอนที่ 739 โรคอัมพาต (Stroke)

ตอนที่ 739 โรคอัมพาต (Stroke)

โรคอัมพาต (Stroke) เป็นภาวะที่เกิดจากขาดเลือดหรือการรั่วของเลือดไปสู่สมอง ทำให้เนิ่นอนส่วนหนึ่งของสมองถูกทำลาย ที่ตำแหน่งนั้นจะส่งผลให้ความสามารถในการทำกิจกรรมทางกายหรือการสมองเสียหายและอาจส่งผลต่อฟังก์ชันร่างกายและสติปัญญาของบุคคลได้ ต่อไปนี้คือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคอัมพาต:

สาเหตุ:

โรคหลอดเลือดดำในสมอง (Ischemic Stroke): ประสาทในสมองไม่ได้รับเลือดหรือได้เลือดน้อยเกินไปเนื่องจากต้องบุคคลที่เลือดปัสสาวะไปยุ่งอาจจะรอบหัวใจและอาจมีการเกิดก็มลในหลอดเลือดดำแต่ก็มลไม่ก่อให้เกิดการต้องบุคคล.

โรคหลอดเลือดแดงในสมอง (Hemorrhagic Stroke): มีการรั่วเลือดออกจากหลอดเลือดแดงในสมอง ซึ่งอาจเกิดจากข้อผิดพลาดในหลอดเลือด, กระบวนการอัมพาตได้สุงอีกครั้งหรือทั้งสอง.

การวินิจฉัย:

การวินิจฉัยโรคอัมพาตมักประกอบไปด้วยการทำการตรวจ CT Scan หรือ MRI เพื่อทราบที่ตั้งแห่งแรกและความรุนแรงของอัมพาต

การตรวจการทำการตรวจการตรวจสารในเลือด เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงและเราให้ยาออกเมื่อเป็นไปได้เราใช้การตรวจการตรวจการตรวจการตรวจการตรวจการตรวจการตรวจการตรวจการการดูเห็นที่อาจเป็นส่วนเสมือนว่าหลอดเลือดสีแดงในสมองเคยมีการรั่วเลือด

วิธีการจัดการ:

โรคอัมพาตเร่งด่วน (Acute Stroke): ในกรณีโรคอัมพาตเร่งด่วน (acute stroke) ที่เกิดจากโรคหลอดเลือดดำในสมอง, การรักษาที่เร่งด่วนเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยาขยายหลอดเลือดหรือกระตุ้นการไตสีที่เป็นการรักษาสารและการทำการตรวจการบรรจุหรือการรักษาสาร การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกในกรณีที่มีการรั่วเลือดมากหรือเลือดก็มลเข้ากระดูกส้นหลัง.

การรักษาเมื่อหาย: หลังจากการรักษาอัมพาตเร่งด่วน, คุณอาจต้องได้รับการดูแลที่อาจเป็นการดูแลที่ยากเย็นหรือการรักษาการรักษาเพื่อคืนความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน


การฟื้นฟู:

การฟื้นฟูจากโรคอัมพาตอาจใช้เวลานานและควรรับการดูแลที่ถูกที่คลอดให้เป็นไปได้เพื่อทำให้ความสามารถในการทำกิจกรรมทางกายและสติปัญญาเข้าสู่สภาวะปกติ.

การรับการเป็นที่สราสุขภาพอาจเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อปรับปรุงการฟื้นฟู

การอบรมและการคำนวณอาจช่วยให้คุณได้รับการดูแลในการทำงานของเป็นที่คุณมากขึ้น.

คุณควรปรึกษาแพทย์และทีมบริการการรักษาเพื่อรับคำแนะนำเพื่อรับรางวัลเท่าเทียมการคำนวณการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ.

อาการและอาการแสดง:

อาการของโรคอัมพาตอาจแยกตามประเภทของอัมพาต (เช่น, อัมพาตดำในสมองหรืออัมพาตแดงในสมอง).

ในอัมพาตดำในสมอง, อาการอาจรวมถึงอาการหนีหีบ, อาการสามารถในการคำนวณการรักษาการรักษาเป็นเวลาและความสามารถในการพูด

ในอัมพาตแดงในสมอง, อาการอาจรวมถึงอาการเจ็บแสบหรืออ่อนแอและปัญหาในการเคลื่อนไหว

การอาการของโรคอัมพาตสามารถแตกต่างไปไปรองด้วยพนัาบติอื่นหรือเวลาของอาการนั้น.

More

ตอนที่ 736 โรคเบาหวาน : คืออะไร อาการ อาการแสดง สาเหตุ วิธีการรักษา

ตอนที่ 736 โรคเบาหวาน : คืออะไร อาการ อาการแสดง สาเหตุ วิธีการรักษา

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อวิธีที่ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือกลูโคส เกิดขึ้นเมื่อตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ซึ่งมีหน้าที่เปลี่ยนกลูโคสให้เป็นพลังงาน หรือร่างกายของคุณต้านทานต่ออินซูลินที่ผลิตได้

อาการที่พบบ่อยของโรคเบาหวาน ได้แก่ กระหายน้ำและหิวมากขึ้น ปัสสาวะบ่อย โดยไม่ทราบสาเหตุ น้ำหนักลด เหนื่อยล้า ตาพร่ามัว แผลหายช้า และติดเชื้อบ่อย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือผู้ป่วยโรคเบาหวานบางคนอาจไม่แสดงอาการที่เห็นได้ชัดเจน

สาเหตุของโรคเบาหวานแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภท:

1. โรคเบาหวานประเภท 1: ประเภทนี้เป็นโรคภูมิต้านตนเองซึ่งระบบภูมิคุ้มกันโจมตีและทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อนอย่างผิดพลาด ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมมีบทบาท

2 โรคเบาหวานประเภท 2: ประเภทนี้มีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยในการดำเนินชีวิต เช่น โรคอ้วน การใช้ชีวิตอยู่ประจำที่ อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และความบกพร่องทางพันธุกรรม เกิดขึ้นเมื่อร่างกายต้านทานต่ออินซูลินหรือผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอที่จะรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ

3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์: ประเภทนี้เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์และมักจะหายไปหลังคลอด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อการทำงานของอินซูลิน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลตลอดชีวิต แม้ว่าฉันจะให้ข้อมูลทั่วไปแก่คุณได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญบางประการในการจัดการโรคเบาหวาน:

1. การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ: รับประทานอาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยธัญพืช โปรตีนไร้ไขมัน ผลไม้ ผัก และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ จำกัดการบริโภคอาหารแปรรูป เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล และของหวานที่มีน้ำตาลสูง พิจารณาการควบคุมสัดส่วนและเว้นระยะห่างมื้ออาหารตลอดทั้งวัน

2. การออกกำลังกายเป็นประจำ: ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ตั้งเป้าออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาที เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ ให้รวมการออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแกร่งเพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อและปรับปรุงความไวของอินซูลิน

3 การใช้ยา: ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรคเบาหวาน แพทย์อาจสั่งยารับประทาน ฉีดอินซูลิน หรือทั้งสองอย่างรวมกันเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การกินยาตามที่กำหนดและติดตามระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ

4 การตรวจสอบน้ำตาลในเลือด: ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเป็นประจำโดยใช้เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดหรือระบบตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าร่างกายของคุณตอบสนองต่ออาหาร กิจกรรม และยาต่างๆ อย่างไร เก็บบันทึกการอ่านของคุณและแบ่งปันกับทีมดูแลสุขภาพของคุณ

5. การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจเข้าลึกๆ การทำสมาธิ หรือทำงานอดิเรกเพื่อจัดการระดับความเครียด

6. การตรวจสุขภาพเป็นประจำ: นัดเวลาเป็นประจำกับทีมดูแลสุขภาพของคุณเพื่อติดตามการจัดการโรคเบาหวาน ปรับยาหากจำเป็น และแก้ไขข้อกังวลหรือภาวะแทรกซ้อน

7 การศึกษาและการสนับสนุน: ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับโรคเบาหวานด้วยการเข้าร่วมโปรแกรมการศึกษา อ่านแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียง และเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน การให้ความรู้ตัวเองเกี่ยวกับโรคเบาหวานช่วยให้คุณมีข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองได้

More

ตอนที่ 721 ข้อควรระวังของการกายภาพบำบัดในผู้ป่วยเบาหวาน

ตอนที่ 721 ข้อควรระวังของการกายภาพบำบัดในผู้ป่วยเบาหวาน

เมื่อพูดถึงการกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีข้อควรระวังบางประการที่ควรคำนึงถึง:

1. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด: ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อน ระหว่าง และหลังการทำกายภาพบำบัด สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในช่วงที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

2. การดูแลเท้า: ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักจะมีความรู้สึกที่เท้าลดลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่เท้าได้ ก่อนทำกายภาพบำบัด ควรตรวจสอบเท้าว่ามีบาดแผล แผล หรือตุ่มพองหรือไม่ แนะนำให้สวมรองเท้าที่เหมาะสมและถุงเท้าป้องกันระหว่างการบำบัด

3. การให้น้ำ: ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้นควรกระตุ้นให้พวกเขาดื่มน้ำปริมาณมากทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการทำกายภาพบำบัด การให้ร่างกายไม่ขาดน้ำสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

4. การจัดการยา: หากผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับประทานยาตามขนาดที่กำหนดก่อนทำกายภาพบำบัด การปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ให้บริการด้านสุขภาพเกี่ยวกับการจัดการยาเป็นสิ่งสำคัญ

5 การสื่อสารกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ: จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องสื่อสารกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพและแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการกายภาพบำบัด ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพสามารถให้คำแนะนำและข้อควรระวังเฉพาะโดยขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล

More

ตอนที่ 706 อาหารที่สร้างเสริมสุขภาพในผุ้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

ตอนที่ 706 อาหารที่สร้างเสริมสุขภาพในผุ้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

อาหารที่เสริมสร้างสุขภาพในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสามารถช่วยควบคุมความดันโลหิตและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้ นี่คืออาหารที่ควรพิจารณา:

1. ผักเขียวใบ และผักตามสีต่าง ๆ: เช่น ผักโขม, ผักบุ้ง, บรอกโคลี, และผักใบเขียวอื่น ๆ เป็นแหล่งแคลอรีต่ำและรสชาติดี มีใยอาหารที่ช่วยลดความดันโลหิต.

2. ผลไม้: ผลไม้ที่มีพลังงานต่ำและมีใยอาหาร เช่น แอปเปิล, กล้วย, สตรอเบอร์รี่, และส้ม เป็นต้น ช่วยในการควบคุมความดันโลหิต.

3. ไข่ไก่: ไข่ไก่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงและมีไบโอตินที่ช่วยลดความดันโลหิต.

4. อโวคาโด: อโวคาโดมีไขมันดี (ไขมันไม่อิ่มตัว) และช่วยลดการอักเสบในระบบหลอดเลือด.

5. ถั่วเหลือง: ถั่วเหลืองเป็นแหล่งโปรตีนและใยอาหาร ช่วยควบคุมความดันโลหิต.

6. อาหารที่มีโอเมก้า-3: เช่น ปลาสลิด, ปลาแซลมอน, และเนื้อสัตว์ที่ร้อน เป็นแหล่งกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือด.

7. น้ำมันมะกอก: มะกอกมีไขมันที่ดีสำหรับหัวใจและช่วยลดความดันโลหิต.

8. แตงโม: แตงโมเป็นผลไม้ที่เป็นพื้นที่มีธาตุโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต.

9. ถั่วแบบไม่หมัก: ถั่วแบบไม่หมักเป็นแหล่งโปรตีนพืชที่ดีและมีใยอาหาร.

นอกจากนี้ ควรลดการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารเค็ม และควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และรักษาการควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพดีขึ้นและควบคุมความดันโลหิตให้เหมาะสม. ที่สำคัญควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในโรคความดันโลหิตสูงเพื่อข้อเสนอแนะและการรักษาที่เหมาะสมตามสถานะของแต่ละบุคคล.

More

ตอนที่ 682 คำแนะนำในการเลือกสถานที่และนักกายภาพบำบัดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ

ตอนที่ 682 คำแนะนำในการเลือกสถานที่และนักกายภาพบำบัดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ

ตอนที่ 682 คำแนะนำในการเลือกสถานที่และนักกายภาพบำบัด
ที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ

เมื่อเลือกสถานที่และนักกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดในสมองตีบ นี่คือคำแนะนำที่คุณสามารถพิจารณาได้:

1. ค้นหาสถานที่ที่เชี่ยวชาญ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถานที่บำบัดมีทีมนักกายภาพบำบัดที่มีความรู้และความชำนาญในการดูแลผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดในสมองตีบ คำนึงถึงคุณภาพและความเชี่ยวชาญของทีมงานเป็นสิ่งสำคัญ

2. คำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์: อาจมีการแนะนำจากแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบให้เลือกสถานที่และนักกายภาพบำบัดที่เหมาะสม คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ

3. ความสะดวกสบายและที่อยู่: เลือกสถานที่ที่มีความสะดวกสบายและใกล้บ้านหรือที่ทำงาน เนื่องจากการบำบัดกายภาพอาจต้องใช้เวลาและความพยายามในการเดินทาง

4. การให้บริการที่ครอบคลุม: ตรวจสอบว่าสถานที่บำบัดมีการให้บริการที่ครอบคลุมตามความต้องการของผู้ป่วย เช่น การให้คำปรึกษาทางสุขภาพที่เป็นประโยชน์ การประเมินภาวะสุขภาพก่อนและระหว่างการบำบัด และการสร้างแผนการบำบัดที่เหมาะสม

5. ความเหมาะสมของโปรแกรมการบำบัด: ตรวจสอบว่าสถานที่มีโปรแกรมการบำบัดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดในสมองตีบ โปรแกรมควรเน้นการฟื้นฟูและการเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวและการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

6. การติดตามและการประเมินผล: สถานที่และนักกายภาพบำบัดควรมีการติดตามและการประเมินผลการฟื้นฟูของผู้ป่วย ซึ่งสามารถช่วยให้ปรับแผนการบำบัดต่อไปให้เหมาะสมต่อความคืบหน้าและความต้องการของผู้ป่วย

การเลือกสถานที่และนักกายภาพบำบัดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการให้การบำบัดที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย

More