การบาดเจ็บของไขสันหลัง
ระบบประสาทหมายถึง ระบบที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เพื่อให้ร่างกายมีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมต่างๆได้อย่างเหมาะสม รักษาสภาวะแวดล้อมภายในร่างกายให้คงที่ นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับกระบวนการทางด้านจิตใจ การเรียนรู้ การให้เหตุผล การจินตนาการ การวางแผน สติปัญญาและอารมณ์
ระบบประสาทแบ่งออกเป็นได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆได้แก่
1 ระบบประสาทส่วนกลาง
2 ระบบประสาทส่วนปลาย
โดยทั่วไป การบาดเจ็บของไขสันหลังอาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
-อุบัติเหตุทางรถยนต์
-การบาเจ็บจากการเล่นกีฬา
-การล้ม
-โรคต่างๆ เช่นมะเร็ง เนื้องอก วัณโรค
-ถูกยิง ฟัน แทง
โดยหากเป็น 3 สาเหตุแรก(เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด) โดยสาเหตุที่4 มักไม่ทำให้ไขสันหลังถูกตัดหรือฉีกขาด เพียงแต่ทำให้เกิดการช้ำ บวม มีเลือดออก หรือขาดเลือดไปเลี้ยงเท่านั้น ส่วนการบาดเจ็บของไขสันหลังที่มีสาเหตุจากการถูกยิง ฟัน แทง มักจะทำให้ไขสันหลังถูกตัดหรือฉีกขาดโดยตรง ทำให้ทั้ง cell body และ axon เกิดพยาธิสภาพ แต่โดยทั่วไปพบว่าในกลุ่มผู้ป่วยที่เกิดการบาดเจ็บของไขสันหลัง จะจำนวนน้อยมากที่ไขสันหลังเกิดการฉีกขาดหรือถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์
พยาธิสรีระวิทยาของการบาดเจ็บของไขสันหลัง
ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า ผู้ป่วยที่เกิดการบาดเจ็บของไขสันหลังมีสาเหตุจากอุบัติเหตุทางรถยนต์หรือจักรยานยนต การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา และการล้ม ซึ่งมักไม่ทำให้ไขสันหลังถุกตัดหรือขาดอย่างสมบูรณ์ เพียงแต่ทำให้เกิดการช้ำ บวม มีเลือดออก หรือขาดเลือดไปเลี้ยงเท่านั้น แต่การบาดเจ็บเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลายได้รุนแรงไม่น้อยไปกว่าการที่ไขสันหลังถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์
เมื่อไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นประกอบด้วย2 กลไก ปฐมภูมิและกลไกระดับทุติยภูม ซึ่งความผิดปกติของระบบประสาทที่เกิดขึ้นกับผุ้ป่วยมักเป็นผลจากการกลไกทุตติยภูมิจากมากกว่าปฐมภูมิ ด้วยเหตุนี้ทันทีที่บาดเจ็บของไขสันหลัง การรักษาทางการแพทย์โดยใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะเฉียบพลันจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยจำกัดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกลไกทุตติยภูมิให้น้อยที่สุด
กลไกระดับปฐมภูมิเป็นกลไกที่เกี่ยวกับการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นโดยตรง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ในบริเวณที่บาดเจ็บ สส่วนใหญ่เกิดจากการที่บาดเจ็บเนื่องจากกลไกทางกลศาสตร์ เช่นเกิดการกด การอัด การกระแทก การฉีก การดึงยืด
ส่วนกลไกระดับทุตติยภูมิเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดต่อเนื่องตามมาจากกลไกระดับปฐมภูมิ เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงระดับชีวเคมี การเปลี่ยนแปลงในนระดับเซลล์ เช่นการเปลี่ยนแปลงของระดับการเต้นของหัวใจ ความดันเลือดและอิเล็กโตรลัยท์ การไหลเวียยนเลือดลดลง การอักเสบลดลง มีภาวะเลือดออก ภาวะขาดเลือด โดยในระยะแรกเมื่อกระดูกสันหลังได้รับการบาดเจ็บ จะมีอาการบวม การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้นน้อยลง เกิดภาวะเกร็งตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิดการบาดเจ็บทำให้เซลล์ประสาทบริเวณนั้นขาดเลือด ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปสู่ทางเดินประสาทขาขึ้นและขาลง เกิดความเสียหายต่อเซลล์อย่างถาวร
การฟื้นตัวของไขสันหลังภายหลังการได้รับบาดเจ็บ
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่มีอยุ่ในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า การฟื้นตัวของไขสันหลังภายหลังได้รับบาดเจ็บเกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อยมาก การบาดเจ็บของไขสันหลังจะนำไปสู่การตายของเซลลประสารทซึ่งจะไม่เกิดการฟื้นตัวหรือการเจริญขึ้นใหม่ แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่กระบวนการหลั่งสารสื่อประสาท หรืออย่างมากที่สุดก็มีเพียงการงอกที่ไม่ได้รับบาดเจ็บที่อยู่ข้างเคียงบริเวณที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อให้การทำงานของระบบประสาทยังอยู่ ส่วนของระบบประสาทส่วนกลางเมื่อได้รับบาดเจ็บจะไม่มีความสามารถในการเจริญขึ้นใหม่ ซึ่งตรงข้ามกับระบบประสาทส่วนปลายทีมีความสามารถในการเจริญขึ้นใหม่ อยู่เสมอ ทั้งในด้านโครงสร้างหน้าที่ โดยระบบประสาทส่วนปลายจะผลิตสารมาช่วยในการฟื้นตัวซึ่งจะเป็นไปอย่างช้าๆ
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกกายภาพบำบัดเฟิร์ส ฟิสิโอ
www.firstphysioclinic.com สายด่วน 085-264-4994
More
โรคพาร์กินสัน
โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาท ที่พบได้เบ่อยป็นอันดับ 2 รองลงมาจากโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคหลงลืม เกิดได้ในอัตตราส่วน1 ใน 100 และเป็นโรคเรื้อรัง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุมากกว่า50 ปีขึ้นไป และมีแนวโน้มที่จะผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น อาการโดยทั่วไปของโรคนี้คือ มีอาการสั่น แข็งเกร็ง เคลื่อนไหวช้า การทรงตัวที่ไม่สมดุลย์ อาการเหล่านี้เป็นอาการที่พบได้ในโรคพาร์กินสัน สมมุติฐานของโรคนี้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด
สาเหตุของการเสื่อมของสมองในโรคพาร์กินสัน
การเสื่อมในระบบประสาทส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในเบซาล แกงเกลีย หากแต่ว่าจะเกิดขึ้นในเบซาลแกงเกลียในลำดับที่แตกต่างกันไปโดยมักจะเกิดขึ้นที่ ซับสแตนเชีย ไนกรา หรือ SN อาการของดรคพาร์กินสันเกิดขึ้นเนื่องจากเซลล์ในส่วนของ SN นี้เสื่อมหรือตายลงที่ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า Degeneration สาเหตุทีทำให้เซลล์ส่วนนี้เสื่อมนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ที่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้การรักษาโรคพาร์กินสันในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การวิจัยส่วนหนึ่งที่มีในปัจจุบัน คือการทดแทนเซลล์ในส่วนของเบซาล แกงเกลีย ที่เสื่อมลงโดยอาศัยการปลูกฝังถ่ายเซลล์ซึ่งผลของการวิจัยยังไม่เป็นที่แน่นอน และยังไม่จัดเป็นการรักษามาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยพาร์กินสัน ซับสแตนเชีย ไนกรา SN นั้นอยู่ในส่วนลึกของสมองที่เรียกว่าก้านสมอง ซึ่งยังแบ่งออกเป็นหลายส่วน SN นั้นอยู่ในส่วนบนสุดของก้านสมองที่เรียกว่าสมองส่วนกลาง เซลล์ในส่วนSNนั้นที่เสื่อมไปในโรคพาร์กินสันนั้น มีหน้าที่สำคัญในการผลิตสารสื่อประสาทที่เรียกว่า โดปามีน มีหน้าที่สำคัญในการทำให้เกิดการเชื่อมโยงและการผ่านต่อของกระแสประสาทจากสมองในส่วนต่างๆ เมื่อโดปามีนเสื่อมหรือตายลงส่งผลให้ระดับโดปามีนในสมองนั้นลดลง เนื่องจากโดปามีนจัดเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญโดยเฉพาะในเรื่องของการเคลื่อนไหว ระดับของโดปามีนในสมองที่ลดลงจึงส่งผลให้ผู้ป่วยพาร์กินสันมีปัญหาในเรื่องของการสั่น การเคลื่อนไหวช้า และติดขัด นอกเหนือจากเรื่องของการเคลื่อนไหว สัดส่วนของความเสื่อมในสมองส่วนต่างๆที่ต่างกันในผู้ป่วยแต่ละท่าน ก็จะส่งผลให้อาการในผู้ป่วยแต่ละท่านแตกต่างกันไป ประมาณร้อยละ60 ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีปัญหาเรื่องการดมกลิ่น และการรับรส ซึ่งอาการนี้อาจเกิดก่อนปัญหาในเรื่องของการเคลื่อนไหวเป็นเวลาหลายปี ซึ่งปัจจุบันทราบว่าทั้งสองอาการนี้เกิดเนื่องจากการเสื่อมของระบบประสาทในส่วนของการดมกลิ่น และการรับรส นอกเหนือจากสมองในส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว อาการท้องผูกก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการเสื่อมของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของระบบทางเดินอาหารในโรคพาร์กินสัน
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน
การวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาในโรคพาร์กินสันในปัจจุบันคือ การตรวจพบความเสื่อมของเซลล์ในส่วนของ เบซาล แกงเกลีย โดยเฉพาะในเซลล์ที่มีหน้าที่ในการผลิตสารโดปามินในส่วนของสับสแตนเชีน ไนกรา ร่วมกับตรวจพบเลวี บอดี้ส์ ใน เบซาล แกงเกลีย และสมองส่วนใกล้เคียง ในปัจจุบันเราพบว่า เลวี บอดีส์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นในเฉพาะโรคพาร์กินสันเท่านั้น แต่อาจสามารถพบได้ในโรคความเสื่อมของระบบประสาทอื่นๆ ในปัจจุบันยังทราบอีกว่า สมองอื่นๆนอกจากเบซาล แกงเกลียก็สามารถเกิดเกิดการเสื่อมได้เช่นกัน เนื่องจากสมองในแต่ละส่วนมีการทำงานที่เฉพาะและแตกต่างกันไป ดังนั้นการเสื่อมหรือกระทบการกระเทือนในสมองส่วนอื่นๆก็จะส่งผลให้การแสดงของโรคมีมากขึ้น และหลากหลาย
ถึงแม้อาการของโรคพาร์กินสันจะหลากหลาย เกิดเนื่องมาจากการเสื่อมของระบบประสาทหลายตำแหน่งตามที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น แต่ไม่ได้หมายความว่า การเสื่อมหรืออาการเหล่านี้จะเกิดกับผู้ป่วยพาร์กินสันทุกราย ความแตกต่างที่เราเห็นทางพยาธิสภาพทำให้มีอาการมากน้อยแตกต่างกันไป อาการที่กล่าวไปในปัจจุบันสามารถรักษาให้หายได้ การวิจัยของโรคสมองที่เปลี่ยนไปในโรคพาร์กินสันทำให้แพทย์สามารถเข้าใจถึงอาการและการรรรรรักษาอาการต่างๆเหล่านี้ได้
การรักษาโรคพาร์กินสัน
การรักษาโดยการใช้ยา
ปัจจุบันเรามีการเลือกใช้ยาในการรักษาโรคพาร์กินสันเกือบ 10 ชนิด การเลือกใช้ยาให้เหมาะสม การเลือกใช้ยานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกให้เหมาะสมสอดคล้องกับอาการของผู้ป่วยแต่ละรายและระยะของโรคในขณะนั้น รวมถึงขนาดปริมาณยาที่พอเหมาะที่จะทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น และเข้าใจถึงผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นได้
กลุ่มยาลีโวโดปา ยาจะถูกเปลี่ยนเป็นโดปามีนในสมองเพื่อช่วยลดอาการสั่น แข็ง เกร็ง เคลื่อนไหวช้าในผู้ป่วยพาร์กินสัน
กลุ่มยาโดปามีน อโกนิสต์ส มีหน้าที่ทำให้โดปามีนที่เหลืออยู่ในระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น ผลข้างเคียงส่วนมากจะทำให้ง่วงนอน บางรายแขนขาบวม มัพบได้ในผุ้ที่มีปัญหาระบบไหลเวียนเลือด บางรายอาจเห็นภาพหลอน
กลุ่มยาเอนทาคาโปน มีหน้าที่ยับยั้งเอนไซม์ COMTเพื่อไม่ให้เผาผลาญ ลีโวโดปา ดังนั้นเมื่อลีโวโดปาอยู่ในร่างกายมากขึ้นก็จะเปลี่ยนเป็นโดปามีนมาก ทำให้อาการของผู้ป่วยตอบสนองต่อยาได้นานขึ้น
กลุ่มยาเซเรจิลิน ลดอาการง่วงนอนที่เกิดขึ้นจากการใช้ กลุ่มยาโดปามีน อโกนิสต์ส
กลุ่มยาแอนตี้โคลิเนอจิกส์ ลดเรื่องอาการสั่นเพียงอย่างเดียว
ยากลุ่มฟลูโอเซทีนและพาโรเซทีน ลดอาการซึมเศร้า
ยากลุ่มโดเนเพซิล ไรวาสติกกมีน กาแลนทามีน และมีแมนทีน ช่วยในเรื่องของอาการหลงลืม
การรักษาโดยการผ่าตัด
การรักษาโดยการผ่าตัดกระตุ้นสมองส่วนลึก โดยการฝังสายอิเล็กโตรด (deep brain stimulation initiative program)ใช้ในการรักษาผู้ป่วยพาร์กินสันที่ตอบสนองต่อยาไม่สม่ำเสมอ
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คลินิกกายภาพบำบัดเฟิร์ส ฟิสิโอ
More